คุณชุมศรี อาร์โนลด์(กุ้ง)หนึ่งในหุ้นส่วนของร้านอาหารไทยพอตต์ (Thai Pot)

ทราบดีถึงความลำบากของชีวิตในต่างแดนเมื่อเธอมีความพร้อมเธอจึงอยากช่วยคนไทยอื่นๆ

ให้มีโอกาสอยู่ในประเทศอังกฤษได้อย่างเต็มภาคภูมิเธอจึงรวบรวมเพื่อนๆ
ตั้งชมรมเพื่อนหญิงไทยในสหราชอาณาจักร(Thai Women’s Organisation (TWO))
เพื่อให้การช่วยเหลือได้สำเร็จผลอย่างเต็มที่

เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนชีวิตจริงที่เหมือนฝันของชุมศรี อาร์โนลด์
กับเรื่องราวความรักระหว่างพนักงานเสิร์ฟกับนายธนาคารใหญ่
กลายเป็นเรื่องราวที่เล่าขานกันในสังคมไทยขณะนั้นว่าเป็นเหมือนเทพนิยาย?
เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบปีเทพนิยายในชีวิตจริงที่เหมือนฝันของ ชุมศรี อาร์โนลด์
ก็ยังคงดำเนินต่อไปเพียงแต่พล็อตเรื่องได้เปลี่ยนไปจากเรื่องราวความรักของชายหญิง
ไปสู่เรื่องราวของครอบครัวเล็กๆและผู้หญิงคนหนึ่งที่มีพร้อมทั้งทรัพย์สินเงินทอง
และความสุขในใจ…ซึ่งอาจจะเกินกว่าคำว่า”เทพนิยาย”
ขณะนี้ ชุมศรี อาร์โนลด์ พำนักอยู่กับครอบครัว
ที่แมนชั่นหรูย่าน Queen Ann’ s Gateกลางกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร
มีความสุขกับการดูแลครอบครัวตกแต่งบ้านทำกับข้าวอ่านหนังสือนิตยสาร
หลากหลายจากเมืองไทยขณะเดียวกันเธอยังเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง
กลุ่ม Thai Women Organization
ซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อนหญิงไทยในสหราชอาณาจักรเพื่อทำกิจกรรมสังคมช่วยเหลือ
คนไทยในสหราชอาณาจักร

ก่อนจะพูดคุยกันถึงชีวิตของเธอวันนี้ขอย้อนกลับไปถึงเรื่องราวดั่งเทพนิยาย
ที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อนและเรื่องราวชีวิตแต่หนหลังของ

“ชุมศรี อาร์โนลด์”ซึ่งเธอบอกเล่าด้วยเสียงหัวเราะ
รู้สึกเขินเหมือนกันนะคิดว่าตอนนั้นที่คนสนใจเพราะคนอ่านสัมภาษณ์
ก็จะมีความรู้สึกว่าเรื่องจริงหรือเปล่าเว่อร์หรือเปล่าบางทีเราอ่านเรายังรู้สึกเลย
แต่ตอนที่ให้สัมภาษณ์ไปตอนนั้นออกจากใจและมันเป็นเรื่องจริงๆคนก็รู้สึกอิน
และเขาติดใจสโลแกนของดิฉันที่บอกว่ามาอยู่อังกฤษใหม่ๆ
ก็มาขัดกระได ไชรูส้วมคือทำงานล้างห้องน้ำกันมาก่อนเลยจริงๆ
ชีวิตมันก็เหมือนซินเดอเรลลาจริงๆเพราะเราเป็น Nobodyแล้วคุณลุคแมน(สามี)
ก็เป็นนายแบงก์ใหญ่มีคนเคยบอกว่าอยากมีชีวิตอย่างนี้จังมันก็ไม่ใช่ชีวิตที่ทุกคน
สามารถเลือกจะเป็นแบบนี้ได้ดิฉันก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไร
ถึงได้โชคดีขนาดนี้บางครั้งเคยตื่นขึ้นมาแล้วถามตัวเองว่าทำไมเราโชคดี
ก็หาเหตุผลไม่ได้ก็ได้แต่คิดว่าคงจะเป็นบุญเก่าของเราก็เลยทำให้เราคิดว่า
ต้องพยายามทำในสิ่งที่ดี ทำบุญทำกุศลให้มาก

ชีวิตในวัยเด็กเรียกว่าเป็นชีวิตที่ค่อนข้างลำบาก
โดยเฉพาะในเรื่องฐานะทางครอบครัวเธอเป็นลูกสาวคนที่ ๒
ของบรรดาพี่น้อง๕คนโดยมีบ้านเดิมอยู่ในย่านตรอกจันทน์
“ดิฉันเป็นคนเกลียดการพนันมากเพราะตอนเด็กๆครอบครัวเราแย่
เพราะพ่อเล่นการพนันแต่แม่เป็นคนที่หนักเอาเบาสู้ขายข้าวแกง
ส่งให้ลูกๆเรียนแม่เป็นคนที่เห็นความสำคัญของการศึกษามาก
ส่งพวกเราเรียนโรงเรียนดีๆทั้งนั้นตอนเด็กดิฉันเรียนที่
โรงเรียนวาสุเทวีซึ่งเป็นโรงเรียนในเครือของมาแตร์พอจบป.๗
ก็ออกมาเรียนที่โรงเรียนยานนาเวศซึ่งเป็นโรงเรียนรัฐบาล
เพื่อจะได้ลดค่าใช้จ่ายของแม่ซึ่งยังต้องส่งน้องๆเรียนอีกจากยานนาเวศ
ก็ไปเรียนต่อที่โรงเรียนสตรีศรีสุริโยทัยพอจบก็เอ็นทร้านซ์ไม่ติด
เลยไปเรียนที่รามคำแหงเรียนได้๓ปีก็รู้ว่าไม่รอดแน่ก็เลยไปเรียนที่ YWCA
เป็นคอร์สประกาศนียบัตรเทอมสุดท้ายก็ไม่ไปสอบเพราะไม่ชอบครูมั่นใจมาก(หัวเราะ)
สรุปก็เรียนไม่จบอะไรเลยนะเกือบจบทุกแห่งจนตอนนี้มุ่งมั่นมากเลย
ขอให้ลูกเข้าโรงเรียนประจำไปให้เรียบร้อยบ้านที่เมืองไทยเสร็จ
ตั้งประณิธานไว้แล้วว่าจะกลับมาเรียนปริญญาให้จบ

ตอนนั้นอายุ๒๓ก็มีแฟนแต่เรารู้สึกว่าคบกันต่อไปคงไม่ไหวแน่ๆพอดีมีเพื่อน
ไปอยู่อังกฤษเขาก็ชวนว่ามาเถอะอย่าอยู่เลยก็เลยไปเหมือนเป็นสูตรสำเร็จเลยนะ
ไปอ่านนิยายเรื่องไหนนะอกหักมันต้องไปเมืองนอก(หัวเราะ)จำได้เลยตอนที่ขึ้นเครื่อง
คือเราว่าเราเรียนโรงเรียนฝรั่งมาตั้งแต่เด็กก็เรียกว่าภาษาอังกฤษเราก็ใช้ได้
แต่พอขึ้นเครื่องบินฟังเขาไม่รู้เรื่องเลยแล้วทีนี้จะขอผ้าห่มเขาก็นึกคำว่าผ้าห่มไม่ออก
เพราะในชีวิตประจำวันเราไม่ต้องใช้คำว่าผ้าห่มเบสิคที่เราใช้ภาษาอังกฤษ
คือเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาจำได้เลยว่าใช้ภาษาใบ้บอกเขาพอได้ผ้าห่มมาก็คลุมหัว
แล้วร้องไห้โฮอยู่บนเครื่องว่าชั้นมาทำอะไรที่นี่สับสนมากแต่ก็โชคดีนะที่ไป
เพราะถ้าอยู่ก็ไม่รู้จะเป็นไงตอนนี้อาจจะขายหมูปิ้งอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ (หัวเราะ)

ช่วงแรกที่ไปถึงร้องไห้ทุกวันจะซื้ออะไรกินมันไม่ใช่ถูกๆแล้ว
ตอนนั้นต้องไปซื้อร้านขายของเอเชียชื่อร้านมาตาฮารีเรื่องใหญ่ของดิฉัน
คือเรื่องกินเป็นคนไม่ชอบอาหารฝรั่งเลยทุกวันนี้ก็คิดว่าที่แต่งงานกับคนอังกฤษนี่
พวกครูที่สอนภาษาอังกฤษเราสมัยเด็กๆคงจะหัวเราะก๊ากๆด้วยความสาสมว่า
ตอนเรียนไม่ตั้งใจตอนนี้พระเจ้าลงโทษจำได้ว่ามีอาจารย์ท่านหนึ่ง
ที่โรงเรียนศรีสุริโยทัยท่านสอนวิชาภาษาอังกฤษตอนบ่ายไม่รู้เป็นอะไร
ดิฉันก็จะง่วงๆหลังกินข้าวตอนนั้นมีหมอนขวานเล็กๆอยู่แถวๆนั้น
ดิฉันก็หลับโงกลงไปอาจารย์ก็เอาแปรงเขวี้ยงมาที่โต๊ะแล้วถามว่าใคร
ส่งหมอนให้ยายชุมศรี(หัวเราะ)จำได้ว่าตอนแต่งงาน
ก็เรียนเชิญอาจารย์มาอาจารย์เขาก็คงจะขำหรือสมน้ำหน้าเรา”

ชีวิตช่วงแรกที่อังกฤษเป็นประสบการณ์ที่ยากจะลืมเลือน
เพราะเป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการเรียนรู้ชีวิต
อีกรูปแบบหนึ่งจนกระทั่งนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ
“ช่วงแรกๆนี่ลำบากมากก็มีสโลแกนที่ดิฉันเคยให้สัมภาษณ์ว่าช่วงแรกที่มาอยู่อังกฤษ
ต้องขัดกระได ไชรูส้วมเพราะเริ่มงานแรกคืองานส้วมที่คอลเลจ
แห่งหนึ่งแถววิมเบอร์ดันทำสามคนกับเพื่อนเพื่อนได้ห้องน้ำผู้ชาย
ดิฉันได้ห้องน้ำผู้หญิงอีกคนหนึ่งเก็บขยะในออฟฟิศ
เริ่มงานหกโมงเช้าเราก็ต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า
ความจริงบ้านก็อยู่แถวๆนั้นแต่มันหนาวมาก
ตอนนั้นเป็นเดือนกุมภา-มีนาความทรมานคือความหนาว
งานมันไม่เท่าไรหลังจากนั้นพอไปเรียนในโรงเรียนภาษาก็เริ่มรู้จักคนไทย
คนนั้นคนนี้ก็แนะนำกันไปตอนนั้นร้านอาหารไทย
ในลอนดอนมีอยู่แค่๔-๕ร้าน หลังจากขัดกระได ไชรูส้วมพักหนึ่ง
ก็อัพเกรดไปทำงานร้านอาหารไทยร้านแรกเขาก็ไม่ได้ให้เราเสิร์ฟอย่างเดียว
ไปถึงเขาก็ส่งหมูสับส่งใบเกี้ยวมาสอนให้ปั้นขนมจีบ
ช่วยในครัวเขาไปเสร็จสรรพก็ดีนะคะได้วิชาความรู้ติดตัวมาทุกวันนี้
ทุกวันนี้ยังทำขนมจีบเป็นอยู่เลยพอเปลี่ยนมาทำร้านอาหารไทย
ชีวิตมันก็ดีขึ้นสบายมากขึ้นแต่งานมันดึกไงคะเลิกดึก
แล้วเราทำงานแบบคนไทยไม่ใช่แบบฝรั่ง
อย่างฝรั่งบอกว่าเข้าห้าโมง ห้าทุ่มเลิกก็คือจบ
แต่พวกเรางานแบบคนไทยก็คือร้านเขาปิดเมื่อไร
เราก็เสร็จเมื่อนั้นแขกออกไปเราก็ต้องเก็บเคลียร์ให้เรียบร้อย
ทีนี้พอจากร้านหนึ่งก็ย้ายไปอีกร้านหนึ่งแล้วก็มาจบที่ร้าน
ของคุณอากร ฮุนตระกูล ที่ได้เจอกับสามี

เรื่องนี้ใครถามทุกวันนี้เราจะมองหน้ากันแล้วขำ
ตอนที่เขาเจอดิฉันครั้งแรกดิฉันก็ทำงานที่ร้านอาหารไทย
ร้านหนึ่งเรียนหนังสืออยู่แต่เรียนตอนเช้าก็จะเข้ามาทำงาน
ช่วงบ่ายคุณลุคแมนจะมาทานข้าวเดือนละหนสองหน
แล้วก็เขาจะมาทานสายสักบ่ายสองวันหนึ่งดิฉันก็นั่งเขียนหนังสือ
ทำรายงานอยู่เขาก็มาถามว่ายูทำอะไรอยู่
เราก็ตอบว่า Hom workเขาก็นึกว่าเราอายุ ๑๕-๑๖
แต่ตอนนั้นอายุ๒๔แล้วนะคะเขาก็ไม่พูดอะไร
พอเราอยู่ในร้านได้สักปีหนึ่งเขาก็มากินอาหารเป็นประจำ
แต่เป็นคนพูดน้อยมากเราก็ฮัลโหล มิสเตอร์อาร์โนลด์
แต่เราจะแอบเรียกเขาว่ามิสเตอร์ก้ามปู
เพราะเขาชอบกินก้ามปูแล้วก็เป็นคนใจกว้างทิปเยอะ
ทุกวันนี้ก็เป็นคือดิฉันเป็นคนเสิร์ฟเก่า
เราก็รู้หัวอกคนเสิร์ฟเราก็จะเป็นคนให้ทิปลูกชายก็จะติดพ่อติดแม่
ว่าทำอะไรต้องให้ทิปคนเขาไปซื้อไอติมกินที่ปากช่อง
ดิฉันให้ไป๕๐๐ บาทคนขายบอกรอเดี๋ยวนะแคชเชียร์ไปห้องน้ำ
ไม่มีเงินทอนเขาบอกไม่เป็นไรเอาไปเลย
พวกญาติที่ไปด้วยถามใหญ่ว่าให้คนไหนไปเอาคืนมา(หัวเราะ)
ทิปไปสองร้อยครึ่งหนึ่งของห้าร้อยเขาก็ตกใจว่าที่ทำนี่ผิดเหรอ
เราก็อธิบายว่าไม่ผิดหรอกแต่ก็ต้องดูว่าเวลาเราทิปเขา
เมื่อเขาบริการเราเยอะๆแต่นี่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย
ลูกก็หยิบไอติมเองแต่ตอนจบจำไม่ได้ว่าหลานชายทั้งหลาย
วิ่งไปเอาตังค์คืนหรือเปล่าเพราะส้มหล่นลงไปแล้ว(หัวเราะ)

พอทำงานได้สักพักตอนนั้นคุณอากรจะมาเปิดร้าน
เขาก็ตระเวนกินตามร้านต่างๆเขาก็ชวนให้ดิฉันไปเป็นรีเซพชั่น
ของร้านตอนนั้นตั้งใจว่าจะกลับเมืองไทยแล้วเขาก็บอกว่าแทนที่
จะกลับเมืองไทยก็มาทำงานตรงนี้ซะเลยเขาก็เลยให้ดิฉันทำ
ตั้งแต่ร้านเริ่มเปิดเราก็หายไปจากร้านเดิม
ซึ่งคุณลุคแมนก็มาเล่าให้ฟังตอนหลังว่าเขา
กลับไปถามที่ร้านว่าคุณหายไปไหนมีคนบอกว่ากลับเมืองไทยไปแล้ว
พอดีบ้านเขาอยู่ใกล้Knightsbridgeวันหนึ่งเห็นร้านไทยเปิด
เขาก็เดินเข้ามาเห็นเราเข้าก็ดีใจเราก็ดีใจเพราะลูกค้าขาใหญ่ใช่ไหมคะ
ยังไม่ได้คิดอะไรจากตอนนั้นมาอีก๓ปีผ่าน
มาเขาถึงจะลุกขึ้นมาถามเราอีกที
ว่าฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมเราก็นึกว่าคงจะถามว่ายูมีแฟนหรือยัง
เขาถามคำหนึ่งว่า How old are you?เขาบอกเลยนะ
ว่าถ้าต่ำกว่า๒๕เขาก็ต้องเซย์กู๊ดบายไม่กล้าจีบพอเราบอกว่า๒๘เขาก็ดีใจ
เพราะตอนนั้นเขาก็๓๘ตอนนั้นเป็นช่วงที่ดิฉันเลิกกับแฟนทั้งหลาย(หัวเราะ)
โสดจริงๆและไม่เคยคิดจะมีแฟนฝรั่งเลยเพราะถ้ากลับไปย้อนถามครูเก่าๆ
ที่โรงเรียนวิชาที่ทำได้แย่ที่สุดคือภาษาอังกฤษ

หลังจากนั้นเขาก็ขอเดทชวนออกไปข้างนอก
ตอนนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาทำงานอะไรรู้แต่ว่าทำงานธนาคาร
จนแต่งงานกันก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาป็น
Managing Director ธนาคารอะไรก็จำไม่ได้
จะต้องจดใส่สมุดว่าสามีทำงานที่ Credit Swiss First Boston
หลังจากคบกันได้เดือนเดียวเขาก็ขอแต่งงานดิฉันก็กลับมาถาม
พี่ศุภลักษณ์ ตัณฑาภิชาติ ซึ่งเป็นหัวหน้าเราในตอนนั้น
เล่าให้พี่เขาฟังด้วยความตกใจว่าพี่เขาขอหนูแต่งงาน
พี่เขาก็บอกว่าพี่ว่าเขาเป็นคนดีนะกุ้งรับเถอะก็เลยรับ
ความรู้สึกตอนนั้นก็กลัวๆอยู่เหมือนกันนะคะแต่ความรู้สึก
เราบอกว่าเราอบอุ่นมั่นคงปลอดภัยที่จะอยู่กับเขา
เดทเดือนเดียวเองนะคะเขาชวนออกไปตอนคริสต์มาส
แล้วเราก็แต่งงานวันที่๔กุมภาพันธ์ใครไม่รู้นึกว่าท้องก่อนแต่งนะคะ
แต่กว่าจะท้องอีก๘ ปี”(หัวเราะ)

ชีวิตหลังแต่งงานของเธอนับว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต
โดยเฉพาะในด้านฐานะความเป็นอยู่และความสุขในชีวิตคู่
ที่เธอบอกว่าเป็นโชคดียิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ ๑
แต่ถึงกระนั้นก็ตามในความสุขอันล้นเหลือนั้นก็ยังมีความทุกข์
แฝงอยู่ด้วยซึ่งถือว่าเป็นธรรมดาในชีวิตของคนเรา

“คุณลุคแมนเป็นคนใจกว้างมากพอแต่งงานกันเขาดูแลเรา
แล้วก็ยังดูแลญาติพี่น้องเราด้วยเขาซื้อบ้านให้พ่อแม่เราที่เมืองไทย
ในชื่อเราอาจจะเพราะว่าเขาเป็นลูกครึ่งอินเดีย
คุณแม่เขาเป็นคนอินเดียทำให้เขาเข้าใจวัฒนธรรม
ของคนตะวันออกที่ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่หลังจากแต่งงานแล้ว
ก็ทำงานอยู่พักหนึ่งเพราะยังไม่มีลูกแต่ตอนหลังเรารู้ว่า
เรามีปัญหาเรื่องมดลูกท่อรังไข่ตอนนั้นอยากมีลูกมาก
รู้สึกว่าเป็นสิ่งเดียวที่เราต้องการก็เริ่มรักษาเริ่มผ่าตัดใหญ่
ผ่าตัดแล้วก็ท้องธรรมชาติแต่ว่าก็ท้องนอกมดลูก
ตอนนั้นก็เสียทั้งลูกเสียทั้งท่อรังไข่
เรียกว่าช่วงเวลานั้นเป็นอะไรที่เราทุกข์มากนะเพราะว่าสิ่ง
ที่เราอยากได้ที่สุดก็คือลูกสามีก็อยากมีลูกมากสุดท้ายใช้เวลา๖ ปี
ในการมีลูกทำทุกอย่างจนสุดท้ายมาทำ IVF
เพื่อนของคุณลุคแมนก็มาแนะนำว่าให้ทำ IVFเพราะเขาทำแล้ว
ได้ลูก ๓ คนตอนทำก็ยังคิดว่าได้แฝดก็ดีนะไม่ขาดทุน
แต่สาธุ…ได้มาคนเดียวก็ดีแล้ว” (หัวเราะ)

เมื่อการรอคอยที่ยาวนานถึง๘ ปีสิ้นสุดลง
ครอบครัวนี้ก็ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่เป็นเด็กชายหน้าตาน่ารัก
ชื่อ “Jocelyn”หรือ”จอร์จ”ซึ่งเป็นศูนย์รวมของความสุข
และความหวังทั้งหมดของพ่อแม่นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องยืนยันว่า
ชีวิตของ ชุมศรี อาร์โนลด์ เป็นยิ่งกว่าเทพนิยายจริงๆ
“พอมีลูกก็ยุ่งอยู่กับเขาเพราะคุณลุคแมนเดินทางมาก
มันถึงได้มีช่วงจังหวะที่ทำให้ลูกพูดภาษาไทยได้ดีพอดิฉันท้องปั๊บ
ก็พูดกับสามีเลยว่าต้องแบ่งเลยนะถ้าฉันพูดกับลูกเป็นภาษาไทย
ห้ามเด็ดขาดนะห้ามเข้ามายุ่งห้ามถามด้วยแม้กระทั่ง
ถ้าเราจะหัวเราะกันเกลือกกลิ้งก็ห้ามถามแล้วห้ามเสียใจ
เพราะเดี๋ยวจะแปลให้ฟังเองถ้าไม่เหนื่อย
ตอนเด็กๆ๒ปีแรกเขาพูดภาษาไทยเขาไม่พูดภาษาอังกฤษนะ
เพราะยังไม่ไปโรงเรียนแต่ว่าเขาดูการ์ตูนภาษาอังกฤษทุกวัน
เขารู้คำเดียวที่เขาพูดกับพ่อเขาคือ โน แดดดี้ โน ลุคแมน
เขาเริ่มกลัวว่าตกลงลูกฉันจะพูดภาษาอังกฤษได้ไหมนี่
จนวันหนึ่งเขาบอกว่าแดดดี้ Can you open the light?
คุณลุคแมนก็บอกว่า We say turn on or turn off (หัวเราะ)
เขาก็ทำท่าคิดๆอยู่เพราะนี่มันแปลจากไทยเป็นอังกฤษ
แต่พอเขาไปโรงเรียนแล้วก็โอ.เค.ก็พูดภาษาอังกฤษได้
เหมือนคนอื่นๆแต่ตอนแรกพ่อเขากลัวแทบแย่
ว่าลูกจะพูดไม่ได้(หัวเราะ)เ
ดี๋ยวนี้เขาก็พูดไทยชัดแจ๋วแต่ก็มีสำเนียงอังกฤษหน่อยๆ
อย่างช่วงที่เขามาเมืองไทยบ่อยๆตอนช่วง ๗-๘ ปีแรก
ดิฉันจะมาปีละ๓ครั้งสมัยก่อนที่เขาฮิตคำว่า
แบบว่า…เขาจะพูด หม่ามี้ แบบว่า?แบบว่า
เขาถึงได้บอกว่า Mother Tongue ลิ้นของแม่
คือภาษาแม่ ตอนนี้รู้สึกดีมากที่สอนเขาพูดภาษาไทย
เพราะวันหนึ่งไปรับเขาจากโรงเรียนออกมาทานข้าวกลางวัน
เขาเลือกเรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาพิเศษเขาบอกว่าโชคดีนะ
ที่เขาพูดภาษาไทยได้รู้ภาษาไทยมาก่อนเพราะภาษาไทย
ทำให้เขาเข้าใจภาษาญี่ปุ่นมากขึ้นเช่นเขาสอนลักษณะนาม
อย่างแจกัน๒ ใบซึ่งเหมือนภาษาไทยจอร์จก็จะฟัง
แล้วเข้าใจเลยขณะที่เพื่อนนั่งงงเขาก็เลยสอบได้Aวิชานี้”
หลังจากที่ลูกชายเข้าโรงเรียนประจำแล้วชุมศรีจึงมีเวลาว่างมากขึ้น
และได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมกับองค์กรเครือข่ายหญิงไทยในยุโรป
(Thai Women Network in Europe)จึงทำให้มีความสนใจ
ปัญหาของคนไทยในต่างแดนอย่างจริงจังจนเป็นที่มาของการก่อตั้ง
Thai Women Organization(TWO)หรือกลุ่มเพื่อนหญิงไทยในสหราชอาณาจักร

“มันเริ่มจากว่าดิฉันไปร่วมประชุมกับองค์กรเครือข่ายหญิงไทยในยุโรป
ซึ่งผู้หญิงไทยริเริ่มก่อตั้งในเยอรมนีแล้วจะมีการจัดประชุมทุกปี
ในประเทศต่างๆปีหน้าอังกฤษเป็นเจ้าภาพปีนี้ก็เบลเยี่ยม
เขาเริ่มกันมาประมาณ๗ ปีมาแล้วโดยพยายามรวม
กลุ่มภาคีของแต่ละประเทศในยุโรปล่าสุดคือประเทศอังกฤษ
ซึ่งดิฉันไปร่วมประชุมกับเขาเมื่อปีที่แล้วก็เลยไปได้ความคิดมาว่า
โอ้โฮในยุโรปนี่เขารวมตัวกันขนาดนี้นะแล้วคนไทยในอังกฤษ
เรียกว่ามากกว่าแต่ละประเทศถ้าไม่นับเยอรมนี
ก็เลยคิดว่าเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วละเพราะว่าบังเอิญลูกดิฉัน
จะเข้าโรงเรียนประจำปีนี้ก็เลยมีความรู้สึกเราเริ่มมีเวลาแล้ว
พอกลับจากประชุมก็ไฟแรงเลยเริ่มติดต่อเพื่อนๆพี่ๆในวงธุรกิจ
ที่เรารู้จักสนิทสนมทั้งหมดมาคุยกันแล้วดิฉันก็เล่าให้ฟังว่า
ที่ดิฉันไปประชุมมามันเป็นยังไงเราน่าจะลุกขึ้นมาทำอะไรกันนะ

ในกลุ่มนี้ก็มีพี่หมู(สายสัมพันธ์ สุวรรณประทีป)
ซึ่งเป็นทนายความและเป็นคนเขียนหนังสืออยู่อย่างไรในอังกฤษ
เล่มนี้แล้วก็มีคุณพรรณทิพาซึ่งเป็นเอเย่นต์ของเบียร์สิงห์
ในอังกฤษร้านตะวันนาและกลุ่มเพื่อนๆที่เขาทำงานกันหลากหลาย
ก็มารวมกันเราก็คิดว่าก่อนที่จะทำอะไรเราก็ต้องรวมกลุ่มกันให้มันเป็นเรื่องเป็นราวก่อน
เราก็เลยจัดตั้งกลุ่มนี้ขึ้นมาคิดหาชื่อที่จำง่ายที่สุด
ก็มาลงตัวที่Thai Women Organization(TWO)
หลังจากนั้นเราก็หาเงินวิธีหาเงินของเรา
เราก็คิดว่าเราจะเที่ยวไปขอใครๆมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้
คนที่ขอได้ง่ายที่สุดก็คือคนที่ใกล้ตัวดิฉันที่สุดก็คือสามี
แต่ดิฉันก็ต้องมีผลงานให้เขาเห็นไม่ใช่ฉันไปขอเงินเธอ
แล้วเที่ยวทำบุญบริจาคแบบทิ้งๆขว้างๆเริ่มแรกเราหาเงิน
ด้วยวิธีการง่ายๆก่อนด้วยการทำCar Booth Sale
เพราะพอดีจะมีงานวัดทุกคนก็กลับบ้านแล้วก็ไปหาสมบัติ
ที่ตัวเองมีของดีๆที่เรามีอยู่แต่เราไม่ใช้แล้วก็เอาไปขาย
ที่วัดไทยขายถูกๆพวกแม็กกาซีนหนังสือสกุลไทย
ดิฉันก็หอบไปขาย(หัวเราะ)
เพราะว่ามีเป็นตั้งแล้วอะไรที่เราจะใช้ก็ฉีกเก็บไว้หมดแล้ว(หัวเราะ)
วันนั้นขายได้เงินมา๑,๕๐๐ปอนด์ทีนี้การก่อตั้ง
คุณสายสัมพันธ์ก็ได้ตกลงกับสามีดิฉันว่าโอ.เค.ถ้าเราหาเงินได้เท่าไร
เขาจะบริจาคให้เราเท่านั้นถ้าเราขายได้๑,๕๐๐
เขาก็ต้องสมทบให้ดิฉัน๑,๕๐๐มันเท่ากับว่าเป็นการผูกมัด
ให้เราตั้งอกตั้งใจทำไม่ใช่ว่าอยู่ๆเงินมันก็จะลอยเข้ามา
ในชมรมเรายิ่งเราหาได้มากเงินสมทบก็จะมากขึ้นตามมา
นี่เราเพิ่งจัดตั้งมา๑ ปีก็มีการขายของไป๒ครั้ง
จากนั้นพี่หมูก็มานั่งคุยกับดิฉันว่าพี่เห็นหนังสือ
คู่มือของประเทศต่างๆเขาก็มีเรื่องของกฎหมายพอสังเขป
ทำไมเราไม่ลุกขึ้นมาทำเพราะว่าในอังกฤษยังไม่มี
พี่หมูเขาเป็นนักกฎหมายเขารู้เรื่องนี้ทั้งหมด
เราก็เลยตกลงกันว่าพี่หมูจะเป็นคนเขียน
ในระยะเวลา ๖-๙ เดือนนี้ดิฉันเป็นคนดูแล
เรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดเพราะเขามีสมองดิฉันไม่มี(หัวเราะ)
ก็ถือว่าเราให้ความรู้แก่คนอื่นคือมันไม่ใช่หนังสือ
ที่จะมาอ่านเล่นสนุกๆแต่มันเป็นหนังสือที่คนอ่านแล้วจะได้
ประโยชน์เราแบ่งเป็นโซนๆเรื่องความรู้ทั่วไป
มาอังกฤษไหมเป็นยังไง,การเข้าเมือง,กฎหมายครอบครัว,
เรื่องเกี่ยวกับครอบครัว,การทำงาน,ที่อยู่อาศัย,
พินัยกรรม,มรดก,กฎหมายไทยที่ควรรู้หลายคนไม่รู้
เอกขอพาสส์ปอร์ตไทยให้ลูกได้ไหมหรือสามีจะขอวีซ่า
มาอยู่เมืองไทยได้นานเท่าไรเรารวบรวมมาอยู่ในนี้แล้ว
ใช้คำพูดง่ายๆไม่ใช่เป็นคำพูดแบบวิชาการซึ่งคนระดับการศึกษาทั่วไป
ก็อ่านเข้าใจหรืออย่างเรื่องกฎหมาย,ความเป็นอยู่เขียนจากปัญหาโดยทั่วไป
ที่เจอที่คนถามบ่อยๆคำถามที่ถามมาคำตอบอยู่ในนี้
แต่ทำไมเราถึงทำเป็นโฟลเดอร์เพราะกฎหมายอังกฤษ
มันเป็นกฎหมายจารีตประเพณีกฎหมายจะเปลี่ยนแปลง
อยู่ตลอดเวลามันไม่เหมือนกฎหมายบ้านเรา
กฎหมายบ้านเราพิมพ์มา๓๐-๔๐ปีก็ยังอยู่
แต่กฎหมายอังกฤษเพราะความเป็นจารีตประเพณี
เขาจะเปลี่ยนเมื่อไรก็แล้วแต่รัฐบาลนั้นๆเพราะฉะนั้น
มันก็ต้องมีการดึงไส้นั้นออกสอดไส้นี้เข้าไป

“หนังสือ “อยู่อย่างไรในอังกฤษ”
จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้ระดับพื้นฐานเกี่ยวกับการใช้ชีวิต
ในประเทศอังกฤษโดยเฉพาะกลุ่มคนไทยที่ต้องเผชิญ
ปัญหาอุปสรรคเพราะไม่ชำนาญด้านภาษาขาดความรู้
ด้านวัฒนธรรมและกฎหมายของอังกฤษ
เนื้อหาของหนังสือมีเรื่องราวที่เป็นประโยชน์มากมาย
อาทิ การเข้าเมืองและการถือสัญชาติอังกฤษ กฎหมายครอบครัว
พฤติกรรมท้าทายของลูก ความรุนแรงในครอบครัว การทำงาน
ที่อยู่อาศัย พินัยกรรมและมรดก
กฎหมายไทยที่ควรรู้ เป็นต้น
“หนังสือเล่มนี้เราอยากจะแจกให้ภาครัฐที่สนใจ
เรายินดีมอบให้เป็นวิทยาทานว่า
อยากให้คนไทยที่จะมาอังกฤษได้รับทราบข้อมูล
ก่อนว่าไปแล้วจะเป็นยังไงเพราะตอนนี้ผู้หญิงไทย
มองว่าการไปยุโรปเหมือนไปขึ้นสวรรค์
ได้เงินเยอะเงินมันเยอะจริงแต่ค่าครองชีพมันก็สูง
อย่างฝรั่งที่เข้ามาในประเทศเราเอาเงินยูโรมา
มันก็๕๐บาทแล้วเงินปอนด์ก็เกือบ๗๐บาท
แล้วค่าครองชีพเราเท่านี้เขาก็ดูเป็นเศรษฐี
พอกลับไปเขาก็อยู่แฟลตเล็กๆเรายังอยู่สบายกว่าอีก
พวกที่อยู่ต่างจังหวัดบ้านยังใหญ่เสียกว่าอีก
โอ.เค.มันไม่หรูหรือสะดวกสบายเท่าแต่ความเป็นอยู่
เราก็ไม่ด้อยกว่าเขานะคะหลายคนคิดว่ามาแล้ว
จะต้องได้เงินไปขุดทองมันไม่ใช่อย่างนั้นทั้งหมด
ส่วนใหญ่มันมีแต่กรวดทองนี่มันมีน้อย
จะขุดทองมันต้องตั้งอกตั้งใจหรือต้องมีความรู้ความสามารถ

ในฐานะผู้หญิงไทยที่มาอยู่เมืองนอกอยากจะพูด
ให้ผู้หญิงไทยเข้าใจว่าเมืองนอกมันไม่ใช่สวรรค์นะ
ทุกยุคทุกสมัยคนไทยก็ยังคิดว่าเมืองนอกเป็นสวรรค์
ถึงจะไปบอกเขายังไงเขาก็ไม่เชื่อปัญหามันมีหลายอย่าง
ทั้งเรื่องภาษาและวัฒนธรรมซึ่งจะว่าเป็นเรื่องใหญ่มันก็ใหญ่นะ
คนไทยนี่คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษมากกว่าพอไปยุโรป
ก็จะลำบากกับภาษาต่างๆซึ่งมันยากมากแค่ตรงนั้น
ก็ทำให้คนที่เขาไปอยู่ถึงแม้คนที่แต่งงานไปธรรมดา
ไม่ได้ถูกหลอกก็ยังกดดันพอบางทีมารวมตัวกัน
อยู่ด้วยกันแล้วก็เริ่มทำเรื่องต่างๆเช่น เล่นไพ่
อันนี้ดิฉันเห็นกับตาตอนนั้นย้ายไปอยู่สิงคโปร์
คนไทยก็เริ่มนัดสังสรรค์กันวันนี้บ้านนี้นัดกัน
เราก็ทำอะไรไปกินกันแรกๆก็เริ่มต้นกันอย่างนี้
หลังๆก็เริ่มจับกลุ่มกบดำกบแดง ป๊อกเด้ง
ตอนหลังไปบ่อนเลยตอนแรกดิฉันก็เล่นป๊อกเด้ง
พอสนุกไปกับเขาแต่พอตอนหลังเริ่มหนักขึ้น
มันก็ไม่ใช่นิสัยเราแล้วเพราะเราเป็นคนเกลียด
การพนันมากเพราะครอบครัวแย่เพราะพ่อเล่นการพนัน
ได้ยินว่าบางคนสามีฝรั่งตามใช้หนี้ให้เป็นล้านเลยนะ
อีกส่วนหนึ่งที่อยากทำมากคือดีวีดี
เจาะมุมมองของแต่ละประเทศ
เช่น อังกฤษ เยอรมนี สวิสอยากจะทำออกมาให้ดู
เป็นหนังสั้นหรือสารคดีแล้วเราไปเจาะตามที่ต่างๆ
ว่าคนไทยที่มาทำงานเขาอยู่กินยังไง
ถ่ายจากของจริงนะไม่ได้สร้างฉากเลยเป็น Dark Side
ของแต่ละประเทศเพราะทุกคนคิดแต่ว่า
มาอังกฤษ แฮรอดจ์ ไฮด์ ปาร์ก พระราชวังบัคกิ้งแฮม
แต่อยากจะให้ดูว่าถัดบัคกิ้งแฮมไปเป็นพวกไม่มีบ้านอยู่
นอนในกล่องกระดาษเสียดายว่าวิดีโอมันได้แต่รูปภาพ
มันไม่ได้กลิ่นพวกนี้น่าสงสารแล้วก็ยังมีพวกขอทานอีก
อยากให้คนไทยมีความรู้เกี่ยวกับประเทศนั้นๆก่อนจะเดิน
ทางไปหรือเรียนภาษาเบื้องต้นของเขาสักนิด
พอให้กระดิกหูฟังได้ขนาดดิฉันเองเมื่อไปถึงใหม่ๆ
ขนาดเราเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เล็กๆยังฟังไม่รู้เรื่องเลย
เพราะสำเนียงมันไม่ใช่ไงเราเคยได้ยินภาษาอังกฤษ
จากสำเนียงทั่วๆไปจากที่เราพูดกันเองครูที่สอน
ก็เป็นครูคนไทยเราก็ชินสำเนียงไทยนี่ยังแค่อังกฤษนะ
ถ้าไปฟังดิฉันประชุมกันในเครือข่ายหญิงไทยนะคะ
แต่ละประเทศภาษายากๆอย่าง
เยอรมัน ฮอลแลนด์ นอร์เวย์ สวีเดนเขาก็เก่งนะ
เขาดั้นด้นกันไปโดยที่ไม่รู้ภาษาไม่ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน
ในฐานะผู้หญิงไทยที่เคยผ่านการใช้ชีวิตในต่างแดน
มานานกว่า๒๐ปีเธอได้สะท้อนถึงปัญหาหลากหลาย
ของผู้หญิงไทยที่เป็นมาในอดีตและยังคงเป็นอยู่ในปัจจุบัน
ว่า
”ปัญหาหลักๆของเคสในอังกฤษหลักๆคือเรื่อง Work Permit
สิทธิการทำงานเรื่องค้าประเวณีหรือถูกล่อลวง
นี่ไม่ใช่ไม่มีแต่มันไม่ใช่เคสใหญ่ๆ
แบบที่สวิส หรือที่เยอรมนีแต่ว่ามันจะเป็นปัญหา
เรื่องการลักลอบทำงานผิดกฎหมายแต่ที่อันนี้
ก็ไม่ใช่คนไทยอย่างเดียวก็มีคนเอเชียที่เข้าไปแล้ว
ไปใช้สิทธิการเลี้ยงดูของรัฐบาลเหมือนกับว่า
คุณไม่ทำงานรัฐบาลจ่ายจ่ายค่าเลี้ยงดู
ค่าเช่าบ้านแต่คุณก็ยังไปแอบทำงานทีนี้
ไปแอบทำงานมันก็ผิดกฎหมายแล้วก็ปัญหา
อย่างเช่นคนไทยเข้าไปในอังกฤษแล้วไม่มี Insurance ประกัน
ไปในฐานะนักท่องเที่ยวหรือไปในฐานะอะไรก็แล้วแต่
คนไทยก็คิดว่าเรื่องประกันเป็นเรื่องเสียเงินโดยใช่เหตุ
เพราะเสียเงินไปแล้วไม่เกิดอะไรขึ้นก็ไม่ได้อะไร
แต่ไม่คิดว่าถึงเวลาเกิดต้องผ่าตัดขึ้นมา๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ปอนด์เลยนะคะ
แล้วอย่างปัญหาในสายตาของพวกเราแม่บ้านก็คือ
ปัญหาเรื่องเด็กที่มี๒สัญชาติมักจะสับสนถ้าพูดไป
เด็กลูกครึ่งสมัยนี้ยังไม่โดนเหยียดผิวเท่าสมัยก่อน
สมัยนี้ยังน้อยลงเยอะแต่ก็ยังมีเด็กก็จะเริ่มสับสน
ว่าเอ๊ะ เราจะเป็นชาติอะไรแล้วก็เริ่มไม่พูดภาษาไทย
เรื่องไม่พูดภาษาไทยนี่เป็นปัญหาใหญ่ของพวกเรามาก
เด็กไม่ยอมพูดดิฉันเอาเคสนี้มาจากเพื่อน
ซึ่งลูกพูดภาษาไทยไม่ได้ว่าทำไมลูกเธอถึงพูดไม่ได้
เขาบอกรำคาญเวลาพูดๆกันเดี๋ยวพ่อก็ยื่นหน้าเข้ามาแล้ว
พูดอะไรกันฉันไม่เข้าใจมันไม่แฟร์มันเหนื่อย
เหนื่อยที่จะต้องมาพูดสองหนก็เลยเลิกพูดไปเลย
ทุกวันนี้ก็มานั่งเสียใจว่าลูกพูดภาษาไทยไม่ได้
ตอนนี้เราก็มีโรงเรียนสอนภาษาไทยที่วัดไทย
ซึ่งก็ทำเป็นเรื่องเป็นราวเลยแล้วในยุโรปเขา
ก็กำลังรณรงค์โครงการแม่ไก่คือสนับสนุนพวกแม่บ้าน
ให้มีความรู้ในการสอนภาษาไทยให้ลูกไม่ใช่ใคร
ก็สอนลูกเรียน ก ไก่ ข ไข่ก็ได้ เพราะภาษาไทย
ค่อนข้างยากโครงการแม่ไก่ก็จะอบรมให้รู้หลักวิธีการสอน
ที่ถูกต้องทีนี้ทางยุโรปเขากำลังทำและขอความร่วมมือ
จากภาครัฐด้วยก็กำลังดำเนินการอยู่
อีกปัญหาหนึ่งคือเรื่องวัฒนธรรม
ไม่เข้าใจวัฒนธรรมของเขาฝรั่งนี่เขาไม่ได้เอาพี่เอาน้องอย่างเรา
อย่างเรามานี่เราอยากจะเก็บเงินส่งไปให้พ่อแม่
ฝรั่งเขาก็คิดว่าเงินของเขาจะไปส่งให้คนอื่นทำไม
เขาไม่เข้าใจว่านี่คือพ่อแม่ผู้มีพระคุณเราต้องทดแทนพระคุณ
เพราะวัฒนธรรมเรากับเขาไม่เหมือนกันของเขาไม่ต้องทดแทนบุญคุณ
เพราะอายุ๑๖พ่อแม่ก็ไม่เลี้ยงแล้วหมายถึงในระดับหนึ่ง
ระดับกลางลงไปอายุ๑๖จะเรียนก็เรียนไม่เรียนก็อย่าเรียน
อย่างเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงระดับมัธยมรัฐบาลจ่ายหมด
เราไม่ได้พูดถึงภาคเอกชนหรือเศรษฐีที่เขามีเงิน
นั่นเขาส่งลูกเรียนโรงเรียนเอกชนกันพอถึง๑๖
ถึงอายุที่กฎหมายกำหนดก็ไม่เรียนกันแล้วพ่อแม่ก็ไม่สน
เพราะถ้าคุณไม่เรียนปั๊บก็ออกไปทำงานหาเงินกันเอง
แต่คนไทยไม่ใช่อย่างนั้นเราอยู่กับพ่อแม่จนทำงานแล้ว
ก็ยังอยู่กับพ่อแม่

“
ในวันนี้ที่ชีวิตพรั่งพร้อมทุกอย่างแล้ว
นอกจากการทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคมตามกำลังความสามารถ
สิ่งที่ ชุมศรี อาร์โนลด์ต้องการเพียงสิ่งเดียวคือ?
“อยากมีเวลานั่งสมาธิอยากละกิเลสตอนเด็กๆเคยนั่งสมาธิ
เคยไปนั่งวิปัสสนาตอนนั้นอะไรๆก็ยังอยู่ในหัวน้อย
มันก็ง่ายแต่ตอนนี้มันยากเวลาก็ไม่เอื้ออำนวย
กิเลสก็จับตัวหนาเป็นก้อนศีล๕ยังรักษาไม่ได้
จะอะไรกับศีล๘จริงๆศี ๘ น่ะได้แต่ก็ยังขาดไปข้อหนึ่งอยู่ดี
ก็เรายังอยู่ในสังคมพอเราบอกว่าวันนี้เราไม่ดื่มไวน์
คนก็จะถาม ทำไมแล้วยังไง(หัวเราะ)มารผจญเยอะมาก(หัวเราะ)
ถ้าถามว่าต้องการอะไรอยากละกิเลสเคยนัดกับเพื่อนเหมือนกัน
ว่าน่าจะไปเริ่มปฏิบัติธรรมกับคุณแม่สิริ
ตั้งใจว่าเราจะไปอยู่เมืองไทยนานหน่อยแต่ตอน
นี้สิ่งที่ขาดไปคือไม่ได้ใส่บาตรถ้าเราอยู่เมืองไทย
ตอนเช้าเรายังหาทางออกไปใส่บาตรได้ก็ต้องพยายาม
ทำอาหารไปวัดแล้วก็สวดมนต์ลูกดิฉันก็สวดมนต์๓จบได้นะคะ
เพื่อนฝูงงงมากไม่ได้คาดคั้นเคี่ยวเข็ญเขาแต่เป็นคนที่นอนแล้ว
ต้องสวดมนต์ตอนนั้นก็อยู่กันสองคนแม่ลูกเพราะพ่อเดินทาง
เราก็สวดมนต์พอตอนหลังได้หนังสือสวดมนต์
ของหลวงพ่อจรัล ก็จะท่องตอนก่อนนอน
ก็ไม่ได้รู้เลยว่าลูกนั่งตาแป๋วพนมมือแต้ฟังไปด้วย
พอเขาอยู่กับพ่อ พ่อก็สอนสวดแบบคริสต์
พอมาอยู่กับเรา เราก็ เอ้า จอร์จ วันนี้ไม่สวดมนต์หรือลูก
เขาบอกว่าจอร์จเป็นคริสเตียนพ่อก็บอกว่า
O.K. you are Chirstian Let’s pray เขาบอก I am Buddist เริ่มกะล่อนแล้ว” (หัวเราะ)
ชีวิตจริงที่เหมือนฝันและเทพนิยายเรื่องนี้ยังไม่มีตอนจบ
เช่นเดียวกับที่ ชุมศรี อาร์โนลด์บอกว่า
ชีวิตของเธอยังมาไม่ถึงบทสรุป?

“เพราะชีวิตมันยังอยู่อดีตเรารู้ปัจจุบัน
เรารู้แต่อนาคตเราไม่รู้อย่างอดีตที่ผ่านมา
อะไรที่ผ่านไปแล้วเราก็ถือว่าเป็นบทเรียน
อันไหนที่ดีเราก็จดจำไว้ดิฉันจะพยายามบอกครอบครัว
เสมอว่า Forgive นะแต่อย่า Forget
เพราะถ้าไม่ให้อภัยมันจะหนักอยู่ในอก
เราให้อภัยแต่เราไม่ลืมนะเพราะเราต้องเตือนตัวเองว่า
มันอันตรายมันไม่ถูกต้องแต่เราก็ต้องให้อภัยคนที่เขา
คิดไม่ดีกับเราหรือทำร้ายเรา
เราก็เป็นมนุษย์ธรรมดา รัก โลภ โกรธ
หลงมันเป็นเรื่องธรรมดาแต่ถ้าควบคุมไว้
ให้มันอยู่ในมาตรฐานที่ผู้คนเขารับได้ว่าเราก็ทำได้แค่นี้
เราก็เป็นได้แค่นี้ถ้าทำได้มากกว่านี้ฉัน
ก็คงเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงไปแล้ว
ฉันคิดว่าอดีตผ่านไปแล้วคือบทเรียนแล้วเอาตรงนั้นมา
ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดว่าเราจะต้องไม่พลาดแบบนั้นอีก
แต่อนาคตนี่ไม่รู้จริงๆ ใครๆก็บอกไม่ได้ต่อให้หมอดูด้วย
ดิฉันเป็นคนไม่ดูหมอเลยเพราะดูแล้วถ้าดีเราก็อาจ
จะเหิมเกริมว่ายังไงก็สบายอยู่แล้วถ้าไม่ดี
เราก็เป็นทุกข์อีกก็อยู่ไปอย่างนี้แล้วก็ทำแต่ละวันให้ดีที่สุดดีกว่าค่ะ
“

(หน่วยงานภาครัฐที่สนใจหนังสือ”อยู่อย่างไรในอังกฤษ”
สามารถติดต่อขอรับได้ที่ บริษัทคิธ แอนด์ คิน โทร. ๐-๒๖๖๓-๓๒๒๖)