กลับมาฮือฮาอีกครั้งเมื่อมีการเสนอแนวคิดดึงชาวต่างชาติ
โดยเฉพาะฝรั่งที่แต่งงานกับคนไทยและพำนักอยู่ในประเทศไทย
เข้ามาร่วมทำกิจกรรมสร้างสรรค์สังคมอาทิ สอนภาษาให้เด็กๆ
หรือชาวต่างชาติที่มีความรู้ด้านวิชาชีพอื่นๆ
เชิญชวนไปเผยแพร่ความรู้ให้กับชุมชนนั้นๆ
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)
เปิดเผยผลสำรวจคู่สมรสหญิงไทยกับชาวต่างชาติปี 2549
พบว่าคู่สมรสจ.ขอนแก่น2,435คู่คิดเป็น15.9%ของคู่สมรสทั้งหมด
รองลงมาคืออุดรธานี2,228 คู่
หนองคาย มหาสารคาม ชัยภูมิ ศรีสะเกษ สกลนคร
สุรินทร์ บุรีรัมย์ และเลย ตามลำดับ

ทีมข่าวภูมิภาค”มติชน”สำรวจในหลายพื้นที่มี”เขยฝรั่ง”
พำนักอาศัยอยู่พบมีความเปลี่ยนแปลงของชุมชน
เป็นการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมไทย-ต่างชาติอย่างกลมกลืน
บางแห่งนั้นประเพณีวัฒนธรรมของไทยซึมซับจนเขยฝรั่งลืมถิ่นเก่าบ้านเกิดก็มี
ที่จ.อุดรธานีทีมข่าวเดินทางไปยังบ้านของนางราณี สมจิตร อายุ33ปี
แต่งงานกับนายเฟรดดี้ เอฟเนอร์อายุ66 ปีอดีตแพทย์
ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็งนักวิจัยการรักษามะเร็งสมุนไพรชาวเดนมาร์ก

บ้าน”ราณี”ดีไซน์ทรงสเปนอาคาร2 ชั้นเลขที่161หมู่ที่ 4บ้านข้าวสาร
ต.โนนสูง อ.เมือง จ.อุดรธานีห่างจากถนนมิตรภาพอุดรธานี-ขอนแก่น
เพียง100เมตรเป็นครอบครัวคู่สมรสข้ามวัฒนธรรมอยู่กินกันมานานกว่า12 ปี
ทั้งคู่มีพยานรักเป็นเด็กหญิงจีน่าวัย6ขวบ
มุมขวาของบ้านเป็นร้านส้มตำ”ราณี”เป็นแม่ครัวปรุงอาหาร
มีลูกค้าแวะเวียนมาเป็นระยะส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำ
ขณะที่ “เฟรดดี้” สามีฝรั่งข้อมือขวาสวมริสท์แบนด์”เรารักพระเจ้าอยู่หัว”
สวมเสื้อยืดคอปกสีขาวติดโลโก้ให้รู้ว่าเป็น”อาสาสมัครช่วยเหลือนักท่องเที่ยว”
สถานีตำรวจท่องเที่ยว5จ.อุดรธานีและทำหน้าที่ดูแลแขก
“เฟรดดี้”เล่าว่ารู้จัก จ.อุดรธานีตั้งแต่เมื่อ25ปีก่อน
ต่อมาภรรยาคนเก่าเสียชีวิตรู้สึกสับสนมากจึงเดินทางมาอยู่ที่จ.อุดรธานี
ไม่นานตัดสินใจแต่งงานกับนางราณี
“ภรรยาคนไทยที่ดีที่สุดผมจะขอตายที่อุดรฯ”เขยฝรั่งพูดเสียงเข้ม
นอกเหนือจากความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และสมุนไพรแล้ว
“เฟรดดี้”ยังพูดได้ถึง5ภาษา อังกฤษ,ฝรั่งเศส,เยอรมัน,นอร์เวย์และเดนมาร์ก
จึงรับอาสาเป็นตำรวจท่องเที่ยวอุดรธานีพร้อมกับเพื่อนฝรั่งอีก8คน

ส่วนที่จ.ร้อยเอ็ดเขยฝรั่งเฟื่องฟูหลายคู่แม้ไม่ได้อยู่เมืองไทย
แต่ควักเงินลงทุนเปิดร้านอาหารให้บรรดาญาติดูแล”วันโอวันพิซซ่า”
ริมถนนรอบบึงพลาญชัยในเขตเทศบาลเมืองร้อยเอ็ด
เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เขยฝรั่ง”โจเอล เดรเซน”ชาวแคนาดา
ลงทุนเปิดให้กับนางนภาเพ็ญ เดรเซนภรรยา

นางอุไร ทิพย์มาตร์อายุ34ปีคนดูแลร้าน
เปิดเผยว่าร้านแห่งนี้เปิดมากว่า5ปีแล้วเมื่อแรกเปิดร้านกาแฟและเครื่องดื่ม
ต้องการให้เป็นจุดนัดพบพูดคุยกันระหว่างเพื่อนๆสามี
ต่อมากลายเป็นจุดนัดพบของชาวต่างชาติแห่งแรกของจ.ร้อยเอ็ด
“ชาวต่างชาติที่มีเมียไทยมารวมตัวกันที่นี่จนกระทั่งต่อมาขยายเป็นการขายอาหารฝรั่งด้วย
และมีชาวต่างชาติทั้งที่อยู่ในเมืองไทยและที่มาท่องเที่ยวต่างมาที่ร้าน
กลายเป็นศูนย์รวมข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวมีแผนที่แผ่นพับแหล่งท่องเที่ยว
และปฏิทินวัฒนธรรมข่าวสารเกี่ยวกับเมืองร้อยเอ็ดให้แจกทุกคน
ที่มาท่องเที่ยวร้อยเอ็ดไปในตัวด้วย”นางนางอุไรกล่าว

ด้านนายเพาเวล สมิธอายุ 55 ปีเจ้าของโรงพิมพ์ชาวเนเธอร์แลนด์
ซึ่งตั้งรกรากในเมืองไทยถาวรมา13ปีกล่าวว่ ก่อนหน้านี้อยู่ที่เชียงใหม่
และย้ายมาร้อยเอ็ดเมื่อ7ปีที่แล้วซื้อบ้านอยู่ที่นี่ราคา2ล้านบาท
บั้นปลายชีวิตอยู่กินกับนางแขไข สมิธ
“ชีวิตผมส่วนใหญ่อยู่เมืองไทยตลอดธุรกิจต่างๆ
มอบหมายให้ลูกสาวลูกชายเป็นคนดูแลกิจการให้ว่างๆก็ช่วยงานสังคม
เช่นงานประเพณีบุญผะเหวดบางปีพาเพื่อนๆ จัดต้นผ้าป่า
ที่มาอยู่เมืองไทยเพราะชอบอาหารไทย,คนไทยพูดดีใจดีอากาศดี
มีความสุขกว่าประเทศของผม”สมิธพูดไทยชัดถ้อยชัดคำ

ที่ จ.ขอนแก่นมีเขยฝรั่งชื่อนายมาร์ติน วีลเลอร์ชาวอังกฤษวัย45ปี
ปักหลักอยู่ที่บ้านเลขที่49 หมู่ 9ต.บ้านดงอ.อุบลรัตน์จ.ขอนแก่น
วีลเลอร์เรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยลอนดอน
เกียรตินิยมอันดับหนึ่งภาษาละตินต่อมาไปเรียนมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
แต่อยู่ได้เพียง3ปีทนไม่ไหวกับระบบเจ้าขุนมูลนายของสถาบันแห่งนั้น
เลิกเรียนไปเป็นกรรมกรก่อสร้างก่อนละทิ้งทุกอย่าง
เดินทางมาเมืองไทยและพลิกวิถีชีวิตเป็น”ชาวนา”
“วีลเลอร์”พบกับ”รจนา”ทั้งคู่แต่งงานเดินทางปักหลัก
อยู่ที่บ้านทรัพย์ภูพานต.บ้านดงอ.อุบลรัตน์จ.ขอนแก่นมีลูก3คน
ทั้งสามคนพูดภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆภาษาไทยพูดได้กระท่อนกระแท่น
ภาษาที่ถนัดที่สุดคือ”ภาษาอีสาน”และอาหารที่โปรดปราน
คือข้าวเหนียวและแมลงทุกชนิด”วีลเลอร์”เล่าให้ฟังว่ามาอยู่ที่จ.ขอนแก่น14 ปี
แล้วช่วงนั้นไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอาศัยว่าฝีมือดี
จึงทำงานก่อสร้างเป็นรายวันอยู่มาวันหนึ่งคุณหมออภิสิทธิ์ ธำรงวรางกูร
ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุบลรัตน์จ.ขอนแก่น
แกนนำในการรวบรวมปราชญ์ชาวบ้านติดต่อให้ผมไปเป็นล่าม
ระหว่างชาวต่างชาติมาดูงานด้านการเกษตรทำให้ผมรู้สึกทึ่งในแนวคิดเกษตรแบบพึ่งตนเอง
และนี่แหละคือสิ่งที่ผมตามหามาตลอดชีวิต”วีลเลอร์เผยเหตุยึดอาชีพ”ทำนา”
อดีตบัณฑิต”ลอนดอนยูนิเวอร์ซิตี้”ซื้อที่ดิน 6 ไร่
แยกเป็นปลูกบ้านปลูกข้าวเอาไว้กิน1ไร่ปลูกไม้ยืนต้นครึ่งไร่
ปลูกป่าไม้ธรรมชาติเพื่อคืนสิ่งดีๆให้ธรรมชาติไร่ครึ่ง
และขุดสระน้ำอีกไร่ครึ่งเพื่อเอาไว้ใช้สอยในหน้าแล้งที่เหลือปลูกผักสวนครัว
“ปีที่แล้วผมหว่านข้าวเหนียวเอาไว้มากกว่าข้าวเจ้า
แต่พอถึงเวลาเก็บเกี่ยวปรากฏว่าข้าวเจ้ากลับได้ผลดีมากกว่าข้าวเหนียว
ทำให้ผมต้องขายข้าวเจ้าเพื่อเอาเงินมาซื้อข้าวเหนียวกิน
เพราะที่บ้านผมไม่กินข้าวเจ้าเลยทั้งผมภรรยาและลูกกินข้าวเหนียวทุกคน
เพราะกินแล้วอิ่มท้องดี” วีลเลอร์กล่าวอย่างอิ่มเอิบในสุข
ผมเชื่อว่าพ่อแม่คงไม่ผิดหวังเพราะลูกมีความสุขมาก
เมื่อเร็วๆนี้พ่อเพิ่งเสียชีวิตลงและทิ้งมรดกไว้ให้ราวสิบล้านบาท
เงินทั้งหมดผมฝากธนาคารเอาไว้ไม่ได้แตะต้องเลยสักบาท”
วีลเลอร์เผยความลับ”ตอนนี้ผมกำลังคิดจะซื้อที่ดินเพิ่ม
ซึ่งเป็นที่ดินที่อยู่ต่อจากแปลงนาของผมเนื่องจากมีนายทุนได้เข้ามาซื้อที่ดินของเพื่อนบ้าน
และเตรียมปลูกยูคาลิปตัสผมไม่อยากให้บริเวณแถวนี้ปลูกยูคาลิปตัสเลย
เพราะร้อนดินแห้งดูดน้ำในลำธารไปหมดทำให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม
ผมจะซื้อที่อีกแปลงที่อยู่ถัดไปเอาไว้เพื่อเป็นกันชน”วีลเลอร์คิดแผนอนาคต
นางรจนา วีลเล่อร์ บอกว่า
“ดิฉันไม่เคยรู้สึกเสียใจที่เป็นเมียฝรั่งแม้ไม่ได้อยู่บ้านหลังใหญ่โต
ขับรถคันโก้หรูเหมือนคนอื่นแต่ทุกวันนี้มีความสุขดีอยากจะไปไหนก็ได้ไป
สามีบอกเสมอว่าเรามีความสุขที่สุดแล้ว”
ขอขอบคุณมติชนที่นำเสนอสิ่งดีๆแก่ผู้อ่าน
ด้วยความปราถนาดี
ณฐมน